tag:blogger.com,1999:blog-83239684063575060612023-11-16T02:44:31.131-08:00MBA HOLIDAYการจัดการตลาด การจัดการการเงิน การจัดการ การบริหารงานบุคคล modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.comBlogger112125tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-30549627613640676172020-05-25T20:46:00.002-07:002020-05-25T20:46:25.652-07:00การซื้อของผู้บริโภค<div style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="color: black; font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;">พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค หมายถึง พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคขึ้นสุดท้ายที่ซื้อสินค้าและบริการไปเพื่อกินเองใช้เอง หรือเพื่อกินหรือใช้ภายในครัวเรือน ผู้บริโภคทุกคนที่ซื้อสินค้าและบริการไปเพื่อวัตถุประสงค์เช่นว่านี้รวมกันเรียกว่าตลาดผู้บริโภค ผู้บริโภคทั่วโลกนั้น มีความแตกต่างกันในลักษณะประชากรอยู่หลายประเด็น เช่น ในเรื่องของอายุ รายได้ ระดับการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม และรสนิยม เป็นต้น ทำให้พฤติกรรมการกินการใช้ การซื้อ และความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์แตกต่างกันออกไป ทำให้มีการซื้อการบริโภคสินค้าและบริการหลาย ๆ ชนิดที่แตกต่างกันออกไป นอกจากลักษณะประชากรดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่ทำให้มีการบริโภคแตกต่างกัน</span></div>
<div style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="color: black;"><span style="font-size: medium;"><span style="font-family: arial,sans-serif;"> <strong>สิ่งเร้า (stimuli)</strong><b> </b>ในทางการตลาดนั้น เราแบ่งสิ่งเร้าออกเป็น 2 ประเภท คือ สิ่งเร้าทางการตลาดกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆทางการตลาด ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมของผู้บริโภค</span></span><br /><span style="font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;"></span></span><div align="left">
<ul>
<li><div align="left">
<span style="font-size: medium;"><span style="font-family: arial,sans-serif;"><span style="color: black;"><b>สิ่งเร้าทางการตลาด</b> ได้แก่ สิ่งที่เราเรียกว่า ส่วนประสมทางการตลาดหรือ 4'Ps อันได้แก่ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาดนั่นเอง</span></span></span></div>
</li>
<li><div align="left">
<span style="font-size: medium;"><span style="font-family: arial,sans-serif;"><span style="color: black;"><b>สิ่งแวดล้อมอื่นๆ</b> ทางการตลาด ที่อยู่อยู่ล้อมรอบผู้บริโภคได้แก่ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม การเมือง / กฎหมาย และวัฒนธรรม ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค</span></span></span></div>
</li>
</ul>
</div>
</div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-19046703519058511822020-05-25T20:45:00.001-07:002020-05-25T20:45:18.698-07:00นโยบายการคลัง<div style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-size: medium;"><span style="font-family: arial,sans-serif;"><strong>นโยบายการคลัง (</strong><strong>Fiscal policy)</strong> คือ นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการหารายได้ และรายจ่ายของรัฐบาล รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลมาจากการเก็บภาษี (Tax) ประเภทต่างๆ เช่น ภาษีสรรพาสามิต ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง หรือที่เรียกว่าการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจเพิ่มหรือลดภาษี ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นอัตราภาษีมีผลให้เงินสดที่อยู่ในมือเราลดลง เนื่องจากรายได้ส่วนหนึ่งต้องนำไปจ่ายภาษีมากขึ้น เงินที่เหลือจะใช้จ่ายก็จะลดลง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว นโยบายการคลังสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท เช่น เดียวกับนโยบายการคลัง ได้แก่</span></span></div>
<div style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;"> <strong>นโยบายการคลังแบบขยายตัว</strong> (Expansionary fiscal policy) คือ การที่รัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายได้ภาษีที่จัดเก็บได้ หรือที่เรียกว่า “งบประมาณขาดดุล” (deficit budget) กรณีนี้จะใช้เมื่อเศรษฐกิจถดถอย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เปรียบเสมือนการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ</span></div>
<div style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;"> <strong>นโยบายการคลังแบบหดตัว</strong> (contractionary fiscal policy) คือ การที่รัฐบาลจ่ายน้อยกว่ารายได้ภาษีที่จัดเก็บได้ หรือการเพิ่มภาษีเพื่อดูดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ อาจจะเรียกว่า งบประมาณเกินดุล (surplus budget) จะใช้ก็ต่อเมื่อยามที่เกิดปัญหาเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจ </span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-75234378822491436042019-08-14T23:36:00.001-07:002019-08-14T23:36:09.065-07:00การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน (Internal Environmental Analysis)สภาพแวดล้อมภายนอกมีอิทธิพลต่อองค์การอย่างมากก็จริง แต่ผู้บริหารต้องมีความเข้าใจและสามารถจัดการปัจจัยภายในองค์การด้วยการดาเนินงานจึงจะบรรลุเป้าหมาย การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในจะได้ผลการวิเคราะห์เป็นจุดแข็ง (Strengths) หรือจุดอ่อน (Weakness) ขององค์การ<br />
1) การระบุและการแยกแยะประเภทของทรัพยากร เป็นปัจจัยภายในขององค์การในด้านจุดแข็งและจุดอ่อนโดยการเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน<br />
2) การระบุความสามารถขององค์การ เป็นการรวมทรัพยากรขององค์การที่เป็นความสามารถเฉพาะหรือเป็นจุดเด่นขององค์การ<br />
3) การประเมินศักยภาพ โดยประเมินความสามารถในด้านการสร้างกาไรขององค์การจากทรัพยากรที่เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และความเหมาะสมของผลตอบแทน<br />
4) การเลือกกลยุทธ์ขององค์การ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและความสามารถขององค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งต้องตัดสินใจจากโอกาสจากภายนอก<br />
5) การระบุช่องว่างทรัพยากร เป็นการพิจารณาเปรียบเทียบศักยภาพทรัพยากรและการใช้ทรัพยากรว่ามีการใช้อย่างเต็มที่หรือไม่modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-7559908006572097912018-02-18T20:42:00.003-08:002018-02-18T20:42:45.453-08:00การควบคุม เป็นการติดตามการตรวจสอบ (Monitoring) และการประเมินผล (Evaluation) การควบคุม เป็นการติดตามการตรวจสอบ (Monitoring) และการประเมินผล (Evaluation) เพื่อให้<br />
การปฏิบัติงานดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง<br />
การติดตามและประเมินผล ซึ่งหมายถึงการคอยติดตามตรวจสอบความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค<br />
ตลอดจนความสำเร็จและล้มเหลวของโครงการกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งวิธีการในการติดตามประเมินผลนั้น คือการ<br />
คอยติดตามข่าวสารข้อมูล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวชี้วัดความสำเร็จต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ และคอยแก้ไขปัญหา<br />
อุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนถึงการคอยติดตามให้การสนับสนุนแก่ผู้ปฏิบัติงานในส่วนงานต่างๆ ใน<br />
ทุกๆ ด้าน ให้สามารถปฏิบัติงานตามกลยุทธ์ให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
แนวทางจัดทำเพื่อให้เกิดความสำเร็จ Blue Print for Change<br />
การพิจารณากำหนดโครงการเพื่อบรรจุลงในแผนปฏิบัติการ สำหรับที่จะนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ<br />
นั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงโครงการที่สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่ได้กำหนดไว้แล้ว ก็ยัง<br />
ต้องคำนึงถึงโครงการและกิจกรรมสำหรับการที่จะปรับเปลี่ยนพัฒนาขีดความสามารถขององค์กร ให้สามารถที่<br />
จะนำแผนยุทธศาสตร์นั้นไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ<br />
ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับองค์ประกอบหลายประการเช่นกระบวนงาน ระบบสารสนเทศ<br />
การนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติ (Strategic Implementation<br />
การควบคุม ติดตามและประเมินผล (Strategic)<br />
และการสื่อสาร กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ คน ฯลฯ ดังนั้น จำเป็นต้องมีข้อเสนอกับแนวทางการจัดทำ<br />
เพื่อให้เกิดความเร็จ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และ กลยุทธ์ในการดำเนินงาน มักต้องมี<br />
การเปลี่ยนแปลงในปัจจัยสำคัญขององค์การในด้านต่างๆ ดังนี้<br />
1. การจัดโครงสร้างองค์การ เช่น การเพิ่ม หรือลดหน่วยงานเพื่อนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติ หรือการ<br />
มอบหมายงานใหม่ หรือการออกแบบกระบวนงานใหม่ ที่เกิดขึ้นจากแผนยุทธศาสตร์<br />
2. การปรับเปลี่ยนระบบ ระเบียบ ขั้นตอน/วิธีการปฏิบัติงาน การนำระบบสารสนเทศมาใช้ เพื่อ<br />
รองรับยุทธศาสตร์การดำเนินงานใหม่<br />
3. การจัดกรอบอัตรากำลังและบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายบุคลากรใหม่ การวิเคราะห์สมรรถนะบุคลากร<br />
และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้ไปปฏิบัติหน้าที่ตามยุทธศาสตร์ใหม่<br />
4. การพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ และทัศนคติของบุคลากรในส่วนงานต่างๆ ให้มีความเข้าใจ<br />
ถึงยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ใหม่modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-60207947176498489082018-02-18T20:38:00.003-08:002018-02-18T20:38:45.477-08:00การดำเนินกลยุทธ์ (Strategy Implementation)<div align="center" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, sans-serif; font-size: 12.48px; margin: 0px; padding: 0px;">
<span lang="TH" style="background-color: transparent; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%; text-align: justify; text-indent: -18pt;"><br /></span></div>
<div align="center" style="background-color: white; color: #666666; margin: 0px; padding: 0px;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span lang="TH" style="background-color: transparent; line-height: 115%; text-align: justify; text-indent: -18pt;">การจัดทำแผนปฏิบัติการ (</span><span style="background-color: transparent; line-height: 115%; text-align: justify; text-indent: -18pt;">Action
Plan)</span></span></div>
<br />
<div class="MsoListParagraphCxSpFirst" style="margin-left: 54.0pt; mso-add-space: auto; mso-list: l0 level1 lfo1; text-align: justify; text-indent: -18.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-indent: -18pt;">แผนปฏิบัติการจะเป็นแผนที่ถูกกำหนดขึ้นโดยระบุรายละเอียดเกี่ยวกับแผนงานและโครงการต่างๆ</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="line-height: 115%;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ที่มีเป้าหมายผลงานสอดคล้องกับเป้าประสงค์และเป้าหมายของแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้
โดยทั่วไปแล้วการกำหนดแผนปฏิบัติการจะเป็นรายปี
โดนหน่วยปฏิบัติจะต้องแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของผลงานที่จะเกิดขึ้นอย่างน้อย 2
ระดับ ได้แก่ ผลผลิต (</span></span><span style="line-height: 115%;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">Output<span lang="TH">) และผลลัพธ์ (</span>Outcome<span lang="TH">) ดังนั้นรูปแบบของแผนปฏิบัติการที่จัดทำจึงมักนิยมดำเนินการโดยใช้กรอบการวางแผนแบบเหตุผลสัมพันธ์
(</span>Logical Framework Project Planning<span lang="TH">)
ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (ในระดับต่างๆ)
ตัวชี้วัดความสำเร็จและทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินงาน</span></span><span style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="line-height: 115%;"><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-align: start;">หลังจากที่เลือกกลยุทธ์ในการแข่งขันแล้ว การนำกลยุทธ์ไปดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เนื่องจากต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลปะ และเป็นส่วนหนึ่งการบริหารงาน เช่น</span><br style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; margin: 0px; padding: 0px; text-align: start;" /><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-align: start;">จัดโครงสร้างองค์กร และระบบการดำเนินงานภายในเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์</span><br style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; margin: 0px; padding: 0px; text-align: start;" /><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-align: start;"> การสร้างความสามารถให้กับบุคลากร</span><br style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; margin: 0px; padding: 0px; text-align: start;" /><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-align: start;">การจัดสรรทรัพยากร</span><br style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; margin: 0px; padding: 0px; text-align: start;" /><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-align: start;"> การจูงใจบุคลากร</span><br style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; margin: 0px; padding: 0px; text-align: start;" /><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-align: start;"> จัดระบบผลตอบแทนที่สอดคล้อง</span><br style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; margin: 0px; padding: 0px; text-align: start;" /><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; text-align: start;"> สร้างวัฒนธรรมองค์กรและบรรยากาศที่เอื้อต่อการดำเนินกลยุทธ์</span></span></div>
<span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, sans-serif; font-size: 12.48px;"></span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-58479842707471419672017-01-31T07:04:00.003-08:002017-01-31T07:04:46.172-08:00วิธีวิเคราะห์ตัวแปร จุดแข็ง จุดอ่อน <div class="MsoNormal" style="line-height: 18.0pt; margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 6.0pt; mso-list: l0 level1 lfo2; tab-stops: 35.45pt 54.0pt; text-align: justify; text-indent: 30.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<b><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;"><span style="font-family: "Times New Roman"; font-stretch: normal; font-variant-numeric: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span></b><!--[endif]--><b><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">วิธีวิเคราะห์ตัวแปร จุดแข็ง จุดอ่อน
โอกาส และภัยคุกคาม </span></b><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;">ตัวแปรคือสิ่งที่มีอิทธิพลที่สำคัญต่อองค์กรให้เกิดความสำเร็จและหรือล้มเหลวได้
โดยตัวแปรที่กล่าวถึงนี้จะนำกรอบของพันธกิจสมมุติ </span><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">มาประกอบ<span style="letter-spacing: -.3pt;">ในการพิจารณา</span><span style="letter-spacing: -.3pt;">ซึ่งประกอบด้วย 2 ด้าน คือ</span></span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.05pt; margin-top: 6.0pt; mso-list: l1 level1 lfo1; text-align: justify; text-indent: 2.0cm; text-justify: inter-cluster;">
<!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;">1)<span style="font-family: "Times New Roman"; font-stretch: normal; font-variant-numeric: normal; line-height: normal;">
</span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;">ปัจจัยภายใน
คือสิ่งที่เรามีอยู่ </span><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;">กำกับได้</span><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;"> ซึ่งช่วยให้เราประสบความสำเร็จ
หรือเป็นสิ่งขัดขวางการก้าวไปสู่ความสำเร็จ</span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.05pt; margin-top: 6.0pt; text-align: justify; text-indent: 70.9pt; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;">ตัวแปร "เรา"
ที่มีบทบาทเป็น "บวก" ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อม
"จุดแข็ง" (</span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;">S)<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.05pt; margin-top: 6.0pt; text-align: justify; text-indent: 70.9pt; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;">ตัวแปร "เรา
ที่มีบทบาทเป็น "ลบ" ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อม "จุดอ่อน"
(</span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;">W)<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.05pt; margin-top: 6.0pt; mso-list: l1 level1 lfo1; text-align: justify; text-indent: 2.0cm; text-justify: inter-cluster;">
<!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;">2)<span style="font-family: "Times New Roman"; font-stretch: normal; font-variant-numeric: normal; line-height: normal;">
</span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;">ปัจจัยภายนอก
คือสิ่งที่มีผลต่อเราและเป็นสิ่งที่กำกับให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามได้ยาก
หรือไม่ได้ มีทั้งผลทางดี และไม่ดี</span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.05pt; margin-top: 6.0pt; text-align: justify; text-indent: 70.9pt; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;">ตัวแปร "เขา" ที่มีบทบาทเป็น "บวก" ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อม</span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;"> "<span lang="TH">โอกาส" (</span>O)<o:p></o:p></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.05pt; margin-top: 6.0pt; text-align: justify; text-indent: 70.9pt; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;">ตัวแปร "เขา" ที่มีบทบาทเป็น "ลบ" ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อม</span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.5pt;"> "<span lang="TH">ภาวะคุกคาม" (</span>T)<span lang="TH" style="font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-12755619974144879452016-12-31T07:36:00.001-08:002016-12-31T07:36:10.313-08:00Credit balance<span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif; font-size: 12px;">ระบบบัญชีลูกค้าเงินกู้เพื่อหลักทรัพย์ (margin account) ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้นำมาใช้แทนระบบ margin account ที่ใช้กันมาแต่เดิม ตามระบบ credit balance ผู้ลงทุนที่ต้องการกู้เงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์จะต้องนำเงินสดจำนวนหนึ่งมาวางไว้กับบริษัทนายหน้าของตน เช่น 1,000,000 บาท จากนั้นบริษัทนายหน้าก็จะกำหนดวงเงินให้ซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระดับ initial margin rate ที่กำหนดไว้ หาก initial margin เท่ากับ 50% วงเงินให้ซื้อหลักทรัพย์จะเท่ากับ 1,000,000 / 50% = 2,000,000 บาท ซึ่งความหมายว่า 1,000,000 บาทแรกซื้อด้วยเงินสดของผู้ลงทุนส่วนที่เกินจากนั้นอีก 1,000,000 บาทเป็นเงินที่บริษัทสมาชิกให้กู้หากผู้ลงทุนซื้อหุ้นน้อยกว่า 1,000,000 บาทที่วางไว้ เช่นซื้อหุ้นเพียง 400,000 บาท เงินสดส่วนที่เหลืออีก 600,000 บาท จะได้รับดอกเบี้ยทำนองเดียวกับการฝากเงิน หากซื้อหุ้น 1,700,000 บาท ส่วน 700,000 บาทที่เกินจากเงินสดของตน ผู้ลงทุนต้องเสียดอกเบี้ยเงินเงินกู้ให้แก่บริษัทสมาชิกผู้ให้กู้นอกจากนี้หลักทรัพย์ที่ผู้ลงทุนซื้อไว้ในบัญชี credit balance จะต้องมีการ mark to market (ปรับมูลค่าตามราคาตลาด) ทุกวัน เพื่อให้สะท้อนถึงมูลค่าที่เป็นจริงตามราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป หากราคาของหลักทรัพย์ที่ซื้อไว้ปรับตัวสูงขึ้นจะมีผลให้กำลังซื้อของผู้ลงทุนรายนี้เพิ่มสูงขึ้นเท่ากับมูลค่าที่สูงขึ้นของหลักทรัพย์ แต่ถ้าหลักทรัพย์ที่ซื้อไว้นั้นมีราคาลดลง กำลังซื้อของผู้ลงทุนนั้นก็จะลดลงตามมูลค่าหลักทรัพย์ที่ลดลง</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-47556139074141790672016-10-31T07:21:00.000-07:002016-10-31T07:21:09.001-07:00การจัดการด้านการดำเนินงานกับหน่วยงานและองค์การการจัดการด้านการดำเนินงานกับหน่วยงานและองค์การมีดังนี้<br />
1. การจัดการด้านการดำเนินงาน เป็นหน้าที่ทางธุรกิจ การผลิตและการบริการเป็นหน่วยงานหนึ่ง<br />
ภายในองค์การเช่นเดียวกับหน้าที่อื่น โดยการดำเนินงานด้านการปฏิบัติการจะรับผิดชอบต่อการ<br />
เปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตหรือการดำเนินงานให้เป็นสินค้าหรือบริการสำหรับลูกค้า หน้าที่นี้เป็นหน้าที่<br />
พื้นฐานที่ทุกคนเข้าใจ<br />
2. การจัดการด้านการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับหน้าที่อื่น หลักการของการจัดการด้านการดำเนินงานจะ<br />
แทรกอยู่ในทุกหน่วยงานที่มีการปฏิบัติ เช่น การเลือกที่ตั้งร้นค้า หรือการออกแบบและการจัดร้านค้า เป็น<br />
ต้น แต่ปัญหาที่เกิดในการทำงานปัจจุบันคือ แต่ละหน่วยงานต่างถูกขีดขั้นหรือจำกัดการประสานงานด้ว ย<br />
เขตแดนสมมติที่ทำให้การติดต่<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkb3oKhH_bXuO5Rq9xnSW8_4U297ZedixZEjVYFMnIEZ5qof9NIqvK4hkXdGqVt8LcAIuUm3Nv-KlxcNUhtw4VdW1kovFnffHhJQV65jZ9J8uyRc4QSAeFSNYz5HfZBElS4I72pILpymw/s1600/image004.gif" /></div>
อสื่อสาร การสร้างความเข้าใจ และประสิทธิภาพในการดำเนินงานลดลง<br />
การพัฒนาความสัมพันธ์และการประสานงานภายในองค์การช่วยให้องค์การมีประสิทธิภาพในการ<br />
ดำเนินงาน<br />
3. การจัดการด้านการดำเนินงานเป็นอาวุธในการแข่งขัน การดำเนินงานที่มีระบบที่ดี ใช้ต้นทุนต่ำ<br />
และคุณภาพสูงช่วยให้องค์การมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ขณะทีการดำเนินงานที่ใช้ต้นทุนสูง มี<br />
ข้อบกพร่องมาก หรือปฏิบัติงานไม่เป็นระบบ ย่อมส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันขององค์การ ดังนั้น<br />
ผู้บริหารจะต้องพยายามหาแนวทางพัฒนาศักยภาพของธุรกิจผ่านระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-6607653164291598982016-10-31T07:03:00.001-07:002016-10-31T07:03:09.964-07:00การบริหารการผลิต การบริหารการผลิต หมายถึง การวางแผนและการตัดสินใจเพื่อการผลิตสินค้า<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiirh4WAlix5Rga6HU7eOYrn_tZso7EF-ZSPT73iJBAZouW7CX46FlVTroS1Jc6UKr_rS7ppKv03FhuProjAtYWOC-j7R7awQBYC90Kk8XKOjdX0n9bbXrOPcV0v-Hu2d09Wf9LM4i4gLc/s320/k4.JPG" width="320" /></div>
การผลิตเป็นการสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการมนุษย์ ผู้ซึ่งมีความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด แต่เนื่องจากการมีทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น จึงได้เข้ามาเป็นตัวกำหนดบทบาทในกระบวนการผลิตเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงทำให้เกิดการบริหารการผลิต เพื่อช่วยให้ผลผลิตที่ออกมามีคุณภาพ และตรงตามความต้องการของมนุษย์ อีกประการหนึ่งยังเป็นการช่วยให้เรานำเอาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย โดยการผลิตมีการแปรรูปปัจจัยนำเข้าต่างๆ ผ่านกระบวนการที่ทำให้ผลผลิตที่ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจัยนำเข้า ดังนั้นการผลิตจึงเป็นหนึ่งในหน้าที่หลักของการบริหารธุรกิจที่มีผลโดยตรงต่อความอยู่รอด<br />ขององค์การ และต้องสัมพันธ์เกี่ยวกับหน้าที่อื่น อาทิเช่น ความสัมพันธ์ในหน้าที่ของฝ่ายการตลาด ฝ่ายการเงิน และฝ่ายการผลิต ภายในองค์กรธุรกิจใดๆ ซึ่งเริ่มจากฝ่ายการตลาดมีหน้าที่ค้นหา และเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และฝ่ายการเงินจัดสรรเงินทุนทรัพยากรมาให้ฝ่ายการผลิตใช้สร้างสิ่งที่ลูกค้าต้องการให<br />้เป็นรูปธรรมขึ้นมา<br />
<br />modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-5206406214447676072015-05-09T02:04:00.001-07:002015-05-09T02:04:26.324-07:00การขายโดยพนักงานขาย (Personal Selling)ฐานข๎อมูลของลูกค๎า (Database) การตลาดทางตรงถือเป็นการทาการตลาดโดยใช๎ฐานข๎อมูล (Database Marketing) ซึ่งหมายถึง กระบวนการสร๎างการเก็บรักษาและการใช๎ฐานข๎อมูลของลูกค๎าและฐานข๎อมูลอื่น โดยมีจุดมุํงหมายเพื่อสื่อสารและซื้อขาย โดยเป็นการเก็บรวบรวมข๎อมูลอยำงมีระบบเกี่ยวกับลูกค๎า หรือกลุํมเป้าหมายให๎เป็นปัจจุบัน สามารถเข๎าถึงและนาไปใช๎เพื่อจุดมุํงหมายทางการตลาดได๎ หรือเพื่อสร๎างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค๎า<br />
การขายโดยพนักงานขาย (Personal Selling) เป็นผู๎แทนขององค์กรที่ไปพบผู๎ที่คาดหวัง โดยมีวัตถุประสงค์วำจะเปลี่ยนแปลงสถานภาพของผู๎ที่คาดหวังให๎เป็นลูกค๎า โดยใช๎กระบวนการขาย (Selling Process) ซึ่งแบํงเป็น<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="233" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWq_taI1mVreJEHw57mRiwdP5SZHWQQWHxlScloyJY2aIYGt8HR0nFae0vTk6jOcuek5Q44cU26rbkg2zW2Pb56HFbVnRMcqMq0r-XzFNFRarH39bjWindgayjF0Ajoiw-gBAX85g4V3A/s320/e.jpg" width="320" /></div>
<br />
การเสาะแสวงหาผู๎ที่คาดวำจะเป็นลูกค๎า (The Prospecting) หมายถึงวิธีการดาเนินการเพื่อให๎ได๎มาซึ่งบัญชีรายชื่อของบุคคลหรือสถาบันที่มีโอกาสจะเป็นผู๎ที่คาดวำจะเป็นลูกค๎า<br />
<br />
การเตรียมการกํอนเข๎าพบลูกค๎า (The Preapproach) หมายถึงขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข๎อมูลเกี่ยวกับลูกค๎าที่ผำนการกลั่นกรองแล๎ว<br />
<br />
การเข๎าพบลูกค๎า (The Approach) หมายถึงการใช๎ความพยายามเพื่อให๎มีโอกาสพบปะสนทนากับลูกค๎า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกความเอาใจใสํจากลูกค๎า ทาให๎ลูกค๎าสนใจ และนาไปสูํการเสนอขายอยำงแนบเนียน<br />
<br />
การเสนอขายและสาธิตการขาย (The Presentation and Demonstration) การเสนอขายคือ การที่พนักงานทาการเสนอสินค๎าหรือบริการให๎แกํลูกค๎า โดยมีจุดมุํงหมายที่จะโน๎มน๎าวจิตใจของลูกค๎าให๎มาใช๎สินค๎า หรือใช๎สินค๎าที่เคยใช๎อยูํแล๎วตํอไปและตลอดไป แบํงออกเป็น 2 สํวนคือ การเสนอคือการแจ๎งให๎ลูกค๎าทราบถึงคุณลักษณะตำงๆของสินค๎าหรือบริการ และการขายคือการแจ๎งให๎ลูกค๎าทราบถึงผลประโยชน์และข๎อได๎เปรียบตำงๆที่ลูกค๎าจะได๎รับจากสินค๎าหรือบริการนั้นๆ<br />
<br />
การจัดการกับข๎อโต๎แย๎ง (The Objection) ข๎อโต๎แย๎งทางการขายคือ พฤติกรรมตำงๆที่ผู๎มุํงหวังได๎แสดงออกมาในทางตํอต๎านหรือไมํเห็นด๎วย ในขณะที่พนักงานกาลังดาเนินการสาธิตสินค๎า<br />
<br />
การปิดการขาย (The Closing) เป็นเทคนิคที่นาออกมาใช๎เพื่อให๎ได๎ใบสั่งซื้อจากลูกค๎า โดยเทคนิคนี้จะต๎องนาออกมาใช๎ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม นั่นก็คือจังหวะที่มีสัญญาณวำลูกค๎าพร๎อมจะซื้อแล๎ว ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นด๎วยความสมัครใจของลูกค๎า<br />
<br />
การติดตามผลและดูแลลูกค๎า (The Follow-Up) เป็นการรับประกันความพอใจของลูกค๎า รวมถึงการแวะเยี่ยมลูกค๎าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ไปแล๎วเป็นครั้งเป็นคราวmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-31404959142831253712014-11-18T22:16:00.002-08:002014-11-18T22:16:37.732-08:00ความเสี่ยงกับการลงทุน <div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>1. </b><b><span lang="TH">ความเสี่ยงทั่วไป</span></b><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><u><span lang="TH">ความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากการลงทุนในระยะสั้น</span></u><span lang="TH"> </span><span lang="TH">เนื่องจากในระยะยาวตลาดหุ้นส่วนใหญ่ย่อมมีมูลค่าสูงขึ้น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">แต่ในบางปีอาจจะเป็นปีที่ไม่ดีนัก
อย่างที่ทราบกันดีในปี </span>2008-2009
<span lang="TH">ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างถล่มทลาย</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">โดยความผันผวนของตลาดหุ้นจะสูงขึ้นหากเป็นการลงทุนในระยะสั้นๆ
เช่น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ลงทุนรายวัน หรือ รายสัปดาห์</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">หากนักลงทุนมีกังวลกับความเสี่ยงแบบนี้มากถึงขั้นกลัวการลงทุน</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">นั้นอาจทำให้เกิดความเสี่ยงทั่วไปแบบที่สองต่อไป</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><u><span lang="TH">ความเสี่ยงที่การลงทุนจะไม่ถึงเป้าหมาย</span></u><span lang="TH"> </span><span lang="TH">เป็นความเสี่ยงที่มาจาก</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">การที่นักลงทุนเจอความผันผวนของราคาและการขาดทุนในระยะสั้นๆ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">จนอาจตัดสินใจไม่ลงทุนต่อเพราะกลัวว่า
หากลงทุนแล้วจะขาดทุนมากขึ้น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ซึ่งทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในการถือหุ้นระยะยาว</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgENtE9Pm4SQeNx5NCOcJky2DQ9jG-DewnEPuOeAhyUm_ibpfUkpgcOlLga79nz_zbUMleutUhCcpNzYwCtlD9Q9mgXYypxLh5_k2ryNInM5CKJPd9E1ner48E9cHUeRJJjs3GtU2ctDGw/s1600/index.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgENtE9Pm4SQeNx5NCOcJky2DQ9jG-DewnEPuOeAhyUm_ibpfUkpgcOlLga79nz_zbUMleutUhCcpNzYwCtlD9Q9mgXYypxLh5_k2ryNInM5CKJPd9E1ner48E9cHUeRJJjs3GtU2ctDGw/s1600/index.jpeg" /></span></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>2. </b><b><span lang="TH">ความเสี่ยงเฉพาะ</span></b><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><u><span lang="TH">ความเสี่ยงของอุตสาหกรรม</span></u><span lang="TH"> </span><span lang="TH">เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุน
ตัวอย่างเช่น</span><span lang="TH">
</span><span lang="TH">การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไอที</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ความเสี่ยงแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าหุ้นใน</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">กลุ่มไอทีมีราคาสูงเกินกว่าราคาที่ควรจะเป็น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">จึงมีการเทขายมากขึ้นจนทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มนั้นตก</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ซึ่งนักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้โดยการซื้อหุ้นในหลายๆ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">กลุ่มอุตสาหกรรม
แทนการซื้อหุ้นในอุตสาหกรรมเดียว </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><u><span lang="TH">ความเสี่ยงเฉพาะของบริษัท</span></u><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ประกอบด้วยความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัท
และความเสี่ยงจากราคา</span><span lang="TH">
</span><span lang="TH">ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัทจะรวมทุกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">สามารถในการทำกำไรของบริษัท
ในขณะที่ความเสี่ยงจากราคานั้น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">จะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของบริษัทว่าแพงเกินไปหรือไม่</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานของบริษัท</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงนี้ลงได้โดยการถือหุ้นหลายๆ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ตัวแทนการถือหุ้นเพียงตัวเดียว</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><u><span lang="TH">ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ</span></u><span lang="TH"> </span><span lang="TH">การเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆ เช่น
อัตราเงินเฟ้อ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">หรือ
อัตราดอกเบี้ยนั้น</span><span lang="TH">
</span><span lang="TH">จะทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะเกิดการผันผวนมากขึ้นโดยเฉพาะในระยะสั้น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้โดยเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เช่น หากดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">การลงทุนในทั้งหุ้นและตราสารหนี้จะทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการถือ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว</span><o:p></o:p></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><u><span lang="TH">ความเสี่ยงรายประเทศ</span></u><span lang="TH"> </span><span lang="TH">การลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">มักเผชิญกับความเสี่ยงเฉพาะของประเทศนั้นๆ
เช่น ความเสี่ยงทางการเมือง</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ความเสี่ยงจากนโยบายของรัฐบาล
รวมไปถึงความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">ซึ่งนักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงนี้ลงได้โดย
ลงทุนในหลายๆ</span><span lang="TH">
</span><span lang="TH">ประเทศหรือเลือกลงทุนในบริษัทที่มีกิจการอยู่ในหลายประเทศ</span></span><o:p></o:p></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-24389252381396294132014-11-18T22:12:00.000-08:002014-11-18T22:12:22.602-08:00สินค้าคงคลัง หรือสินค้าคงเหลือ (Inventory)<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">สินค้าคงคลัง หรือสินค้าคงเหลือ (Inventory)
เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับธุรกิจ
เพราะจัดเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนรายการหนึ่งซึ่งธุรกิจพึงมีไว้เพื่อให้การ
ผลิตหรือการขาย สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
การมีสินค้าคงคลังมากเกินไปอาจเป็นปัญหากับธุรกิจ
ทั้งในเรื่องต้นทุนการเก็บรักษาที่สูง สินค้าเสื่อมสภาพ หมดอายุ ล้าสมัย
ถูกขโมย หรือสูญหาย
นอกจากนี้ยังทำให้สูญเสียโอกาสในการนำเงินที่จมอยู่กับสินค้าคงคลังนี้ไปหา
ประโยชน์ในด้านอื่นๆ <br />
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าธุรกิจมีสินค้าคงคลังน้อยเกินไป
ก็อาจประสบปัญหาสินค้าขาดแคลนไม่เพียงพอ (Stock out)
สูญเสียโอกาสในการขายสินค้าให้แก่ลูกค้า เป็นการเปิดช่องให้แก่คู่แข่งขัน
และก็อาจต้องสูญเสียลูกค้าไปในที่สุด
นอกจากนี้ถ้าสิ่งที่ขาดแคลนนั้นเป็นวัตถุดิบที่สำคัญ
การดำเนินงานทั้งการผลิตและการขายก็อาจต้องหยุดชะงัก
ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจในอนาคตได้
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการในการจัดการสินค้าคงคลังของตนให้อยู่
ในระดับที่เหมาะสม ไม่มาก หรือน้อยจนเกินไป
เพราะการลงทุนในสินค้าคงคลังต้องใช้เงินจำนวนมาก
และอาจส่งผลกระทบถึงสภาพคล่องของธุรกิจได้</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMjzFYSFb3sAKOghKcFlzXGuGQ8abzPoP1_-3j8T-0xMBzH1zsNXBoJ6gSygiHrS0kAMI9iQ8r62ggvrzoCZdnFy5QPb_Irwq1BTkL1CyNyp1Hdqn3Klfe0SRpfJvSruLBEtg-j5-iV7o/s1600/images.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMjzFYSFb3sAKOghKcFlzXGuGQ8abzPoP1_-3j8T-0xMBzH1zsNXBoJ6gSygiHrS0kAMI9iQ8r62ggvrzoCZdnFy5QPb_Irwq1BTkL1CyNyp1Hdqn3Klfe0SRpfJvSruLBEtg-j5-iV7o/s1600/images.jpeg" /></span></a></div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong></strong></span><br />
<br />
<ol start="1" type="1">
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong>สินค้าคงคลัง</strong> หมายถึง
หมายถึงวัสดุหรือสินค้าต่างๆ
ที่เก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินงาน อาจเป็นการดำเนินงานผลิต
ดำเนินการขาย หรือดำเนินงานอื่น</span></li>
</ol>
<div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">สินค้าคงคลังแบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ </span><br />
<ol>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">วัตถุดิบ (Raw Material) คือสิ่งของหรือชิ้นส่วนที่ซื้อมาใช้ในการผลิต </span></li>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">งานระหว่างทำ (Work-in-Process)
คือชิ้นงานที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตหรือรอคอยที่จะผลิตหรือรอคอยที่จะผลิตใน
ขั้นตอนต่อไป โดยที่ยังผ่านกระบวนการผลิตไม่ครบทุกขั้นตอน </span></li>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">วัสดุซ่อมบำรุง (Maintenance/Repair/Operating Supplies)
คือชิ้นส่วนหรืออะไหล่เครื่องจักรที่สำรองไว้เผื่อเปลี่ยนเมื่อชิ้นส่วนเดิม
เสียหรือหมดอายุการใช้งาน </span></li>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) คือปัจจัยการผลิตที่ผ่านทุกกระบวนการผลิตครบถ้วนพร้อมที่จะขายให้ลูกค้าได้</span></li>
</ol>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ถ้าหากไม่มีสินค้าคงคลัง การผลิตอาจจะไม่ราบรื่น
โดยทั่วไปฝ่ายขายค่อนข้างพอใจหากมีสินค้าคงคลังจำนวนมากๆ
เพราะให้ความรู้สึกมั่นใจว่าอย่างไรก็มีสินค้าให้พอขาย
แต่หน้าที่ของสินค้าคงคลังคือ รักษาความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
ทำให้เกิดการประหยัด ต่อขนาด (Economy of Scale) เพราะการสั่งซื้อจำนวนมากๆ
เป็นการลดต้นทุน และคลังสินค้าช่วยเก็บสินค้าปริมาณมากนั้น </span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-13777580574660447562014-05-25T08:23:00.001-07:002014-05-25T08:23:16.813-07:00 กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย( Place Strategy )<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<strong style="background-color: white; clear: right; display: inline !important; font-family: Verdana; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;">กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย( Place Strategy )</strong></div>
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: Verdana;">วิธีการจัดจำหน่าย จะต้องพิจารณาถึง<br /> 1. ช่องทางการจัดจำหน่าย ( Channel of distribution ) <br />เป็นเส้นทางที่สินค้าเคลื่อนย้ายจากผู้ผลิตหรือผู้ขายไปยังผู้บริโภคหรือผู้ใช้ ซึ่งอาจจะผ่านคนกลางหรือไม่ฝ่ายคนกลางก็ได้</span></span><span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKLwtp-6Qd3Becmdmdp19Wq5iwj6MMmUwZmzpbrmza9t1LGN1J3AWa_9pRM-627Fsu8m-HrET3G9fwKVujAheC5DpGmXRT7xSuwE9jxVnapb5fLgOPNvUNrCd5f7sNKt77mFNGf4PeWhM/s1600/images.jpg" height="243" width="400" /></span><span style="background-color: white;"><span style="font-family: Verdana;"><br /> 2. ประเภทของร้านค้า ( Outlets ) ในทุกวันนี้จะพบได้ว่าวิวัฒนาการของการจัดจำหน่ายนั้นเป็นสิ่งที่เจริญเติบโตรวดเร็วมากประเภทของร้านค้ามีมากมาย จนแทบจะตามไม่ทัน จะขอเรียงลำดับประเภทของร้านค้าจากใหญ่ไปหาเล็ก<br /> (1) ร้านค้าส่ง ( Wholesale store ) เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าในปริมาณมาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนกลาง <br /> (2) ร้านค้าขายของถูก( Discount store ) เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าราคาพิเศษ <br /> (3) ร้านห้างสรรพสินค้า( Department store ) </span><br style="font-family: Tahoma;" /><span style="font-family: Tahoma;"> </span><span style="font-family: Verdana;">(4) ซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่เดี่ยว ๆ (Stand alone supermarket)เป็นร้านที่มีทำเลเดี่ยวไม่ติดกับร้านค้าใดๆ <br /> (5) ช้อปปิ้งชุมชน ( Community mall ) เป็นร้านค้าที่อยู่ในย่านชุมชน<br /> (6) Minimart จะเห็นได้จากร้านค้าเล็กๆ ตามตึกอาคารสูงๆ ในโรงพยาบาล ซึ่งตั้งฮั่วเส็งเริ่มบุกตลาด Minimart พอสมควร <br /> (7) ร้านค้าสะดวกซื้อ ( Convenience store ) เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภค หรือสินค้าสะดวกซื้อ บางร้านจะเปิดบริการ 24 ชั่วโมง<br /> (8) ร้านค้าในปั๊มน้ำมัน <br /> (9) ซุ้มขายของ ( Kiosk ) เป็นร้านที่จัดเป็นซุ้มขายของ บางครั้งจัดเป็นบูท<br /> (10) เครื่องขายอัตโนมัติ ( Vending machine ) เป็นการขายสินค้าผ่านเครื่องจักรอัตโนมัติ<br /> (11) การขายทางไปษณีย์ ( Mail order ) เป็นการขายสินค้าซึ่งใช้จดหมายส่งไปยังลูกค้า มีการลงในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ถ้าพอใจก็ส่งข้อความสั่งซื้อทางไปรษณีย์<br /> (12) ขายโดยแคตตาล็อก ( Catalog sales )<br /> (13) ขายทางโทรทัศน์ ( T.V. Sales )<br /> (14) ขายตรง ( Direct sales ) การขายโดยใช้พนักงานขายออกเสนอขายตามบ้าน<br /> (15) ร้านค้าสวัสดิการ เป็นร้านค้าที่ตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกกับพนักงานตามหน่วยงานราชการต่างๆ ของบริษัท หรือสำนักงานต่างๆ<br /> (16) ร้านค้าสหกรณ์ เป็นร้านค้าที่ตั้งอยู่ตามมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่างๆ<br /><br /> 3. จำนวนคนกลางในช่องทาง ( Number of intermediaries ) หรือความหนาแน่นของคนกลา<br />ในช่องทางการจัดจำหน่าย ( Intensity of distribution ) ในการพิจารณาเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายจะมีกระบวนการ 3 ขั้นตอน </span></span><span style="font-family: Verdana;"><span style="background-color: white;">ดังนี้<br /> (1) การพิจารณาเลือกลูกค้ากลุ่มเป้าหมายว่าเป็นใคร<br /> (2)พฤติกรรมในการซื้อของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ซื้อเงินสดหรือเครดิต ต้องจัดส่งหรือไม่ ซื้อบ่อยเพียงใด <br /> (3) การพิจารณาที่ตั้งของลูกค้าตามสภาพภูมิศาสตร์<br /><br /> 4. การสนับสนุนการกระจายตัวสินค้าเข้าสู่ตลาด ( Market logistics ) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต และตัวสินค้าจากแหล่งปัจจัยการผลิตผ่านโรงงานของผู้ผลิต แล้วกระจายไปยังผู้บริโภค</span></span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-83270936601960903112014-05-25T08:10:00.001-07:002014-05-25T08:10:57.968-07:00สินค้าคงคลัง<span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;">สินค้าคงคลัง คือ สินค้าที่เราผลิตหรือสั่งซื้อเพื่อนำมาจัดจำหน่าย การจัดการสินค้าคงคลังเป็นสิ่งสำคัญต่อการให้บริการลูกค้าเพื่อให้สินค้ามีอยู่ตลอดเวลาเมื่อลูกค้าต้องการจะซื้อ แต่ในทางกลับกันก็สามารถทำให้เกิดต้นทุนสูงในการดำเนินการดังนั้น หลายองค์กรเริ่มมองเห็นปัญหาเหล่านี้ จึงมีการคิดหาวิธีต่างๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้าคงคลังในระบบซัพพลายเชน (ห่วงโซ่อุปทาน)</span><br style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;" /><span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;"> </span><span style="font-family: Lucida Sans, Tahoma, Arial;"><span style="background-color: white; margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh49nu_jhBznDszMjNwltEWrs4B-Gr0Y4Hoykg5vHi93Is4rWXsmB1LAdcjZcrE99m_nTL9Mc_e8gI0QklFWv8GLzFyzj2GzyKGaLcyJeN0peRc8K6O-2PG9CquVcjHODnfO6fe0EQi30g/s1600/_1_~1.GIF" /></span></span><span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;">การจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการทำให้เกิดสมดุลระหว่างสินค้าและระดับความพึงพอใจของลูกค้า เช่นการตอบสนองต่อการสั่ง ซื้อของลูกค้า (order fill rates) แต่ทั้งนี้ความเสี่ยงต่างๆที่เกิดจากการบริหารสินค้าคงคลัง อาจเป็นการเก็บสต๊อกไว้มากเกินไป และสินค้าทมีอยู่ไม่ใช่สินค้าที่ลูกค้าต้องการซื้อจริงๆ ก็ทำให้สภาพคล่องทางการเงินชะงักได้ หรืออีกทางหนึ่งคือสูญเสียรายได้จากการที่สินค้าที่ต้องการไม่มีขายในบทความนี้ จะยกตัวอย่างที่สามารถนำไปปฏิบัติจริงเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล และประสานงานในหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพของระบบซัพพลายเชน</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;">การกำจัดสินค้า dead stock (สินค้าที่ไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลามากกว่า 6 เดือน) และสินค้า slow moving (สินค้าที่ถูกขายออกไปช้า อาจจะเดือนละครั้ง หรือ สองเดือนครั้ง เป็นต้น) ซึ่งการจัดการลดกลุ่มสินค้าเหล่านี้เป็นการช่วยลดต้นทุนทั้งในคลังสินค้า (warehousing) การจัดดำเนินการสินค้าในคลัง (handling) การขนส่ง (transportation) </span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;"><br /></span>
<span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;">การบริหารจัดการสินค้าคงคลังฝั่งผู้ผลิต (Vendor managed inventory systems) คือ การจัดระบบการซื้อสินค้าโดยการทำข้อตกลงกับคู่ค้าหรือผู้ผลิต ทำให้คู่ค้าสามารถทำการอัพเดตข้อมูล และทราบความต้องการของลูกค้าร่วมกัน โดยที่ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบยอดขายของแต่ละสาขา และ จัดส่งสินค้าเพื่อเติมสต๊อกให้ทันเวลา และที่สำคัญ เป็นการเน้นความรับผิดชอบของต่</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
อคู่ค้า หรือแม้แต่ฝ่ายจัดหาวัตถุดิบ สามารถเตรียมวัตถุดิบให้เพียงพอต่อการผลิตเมื่อได้รับรายการสั่ง ซื้อ เทคนิคการทำงานระหว่างองค์กรวางแผนพยากรณ์ร่วมกัน และการเติมเต็มสินค้า (<span style="font-family: Lucida Sans, Tahoma, Arial;"><span style="background-color: white;">CPFR : Collaborative Planning, Forecasting and Replenishment</span></span><span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;">) จึงมีความสำคัญในขั้นตอนนี้ แต่การใช้วิธีการนี้ จะต้องมีการลงทุนในด้านระบบสารสนเทศ ระบบ </span><span style="font-family: Lucida Sans, Tahoma, Arial;"><span style="background-color: white;">Electronic Data Interchange (EDI)</span></span><span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;"> มาใช้</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-89821826549586136322014-03-31T07:39:00.000-07:002014-03-31T07:39:56.208-07:00 CSR กับการตลาดเพื่อสังคม<span style="font-size: large;">1. เป็นการอิงตัวผู้บริโภคเป็นหลัก (Consumer Orientation)</span><br />
<span style="font-size: large;">ในการวางแผนการตลาดเพื่อสังคมผู้วางแผนจะต้องวางแผนบนพื้นฐานของข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางประชากร (Demographics) เช่นเพศอายุรายได้ระดับการศึกษาอาชีพสถานภาพสมรสเป็นต้นลักษณะทางจิตวิทยา (Psychographics) เช่นความต้องการแรงจูงใจการรับรู้การเรียนรู้ทัศนคติบุคลิกภาพเป็นต้นลักษณะด้านพฤติกรรม (Behaviors) และข้อมูลในส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง</span><br />
<span style="font-size: large;">2. เป็นกระบวนการทางสังคม (Social Process)</span><br />
<span style="font-size: large;">โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ถือเป็นกระบวนการทางสังคมที่จะต้องเกี่ยวพันกับกลุ่มคนหลากหลายกลุ่มที่ล้วนมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงจาเป็นอย่างยิ่งที่นักวางแผนการตลาดเพื่อสังคมจะต้องพิจารณาตัวแปร ด้านสิ่งแวดล้อมในภาพรวมของสังคมเช่นสิ่งแวดล้อมในด้านเศรษฐกิจวัฒนธรรมการเมืองการปกครองเทคโนโลยีและการศึกษาเป็นต้นเพื่อเป็นข้อมูลสาหรับการวางแผนให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละสังคม</span><br />
<span style="font-size: large;">3. เป็นการใช้ความพยายามทางการตลาดที่ผสมผสานร่วมกัน (Integrated Marketing Efforts)</span><br />
<span style="font-size: large;">นักการตลาดเพื่อสังคมจะใช้แนวคิดส่วนผสมทางการตลาด (Marketing Mix) ร่วมกันในการสร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายหรือที่นิยมเรียกว่า “4Ps” ประกอบด้วยกลยุทธ์ 4 ด้านคือ</span><br />
<span style="font-size: large;">1) กลยุทธ์ในด้านผลิตภัณฑ์ (Products)</span><br />
<span style="font-size: large;">2) ราคา (Price)</span><br />
<span style="font-size: large;">3) ช่องทางการจัดจาหน่าย (Place)</span><br />
<span style="font-size: large;">4) การส่งเสริมการตลาด (Promotion)</span><br />
<span style="font-size: large;">4. เป็นการปฏิบัติการที่สร้างประโยชน์ (Profitable Operations)</span><br />
<span style="font-size: large;">การตลาดเพื่อสังคมเป็นการดาเนินงานเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่กลุ่มเป้าหมาย ทั้งระดับบุคคลกลุ่มบุคคลชุมชนหรือในสังคมโดยรวม</span><br />
<span style="font-size: large;">5. เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่กลุ่มเป้าหมายเต็มใจ (The Behavioral Change is Voluntary)</span><br />
<span style="font-size: large;">เป็นการวางแผนเพื่อสร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายด้วยความเต็มใจ </span><br />
<span style="font-size: large;">6. เป็นการเลือกและสร้างอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (We select and influence a Target Audience)</span><br />
<span style="font-size: large;">เป็นการวางแผนที่จะสร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมของกลุ่มประชากรเป้าหมายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีศักยภาพพอที่จะโน้มน้าวใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย นักการตลาดเชิงสังคมจะใช้กระบวนการทางการตลาดเชิงพาณิชย์เข้ามาช่วยโดยการ ใช้วิธีการแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation)</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-21692231809320435802014-02-10T08:06:00.003-08:002014-02-10T08:06:57.524-08:00ต้นทุนการผลิต<span style="background-color: white; color: black;">ต้นทุนการผลิต (cost of production) หมายถึงค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายในปัจจัยการผลิตที่ใช้ในกระบวนการผลิต เนื่องจากปัจจัยการผลิตแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ปัจจัยคงที่ กับปัจจัยผันแปร ดังนั้นต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายในปัจจัยการผลิตจึงแบ่งตามประเภทของปัจจัยการผลิต ออกเป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกัน คือ</span><br />
<ol>
<li><span style="background-color: white;"><b>ต้นทุนคงที่ </b><span style="color: black;">(fixed cost) หมายถึงค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายในการผลิตที่เกิดจากการใช้ปัจจัยคงที่ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าต้นทุนคงที่เป็นค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายที่ไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณของ ผลผลิต กล่าวคือ ไม่ว่าจะผลิตปริมาณมาก ปริมาณน้อย หรือไม่ผลิตเลย ก็จะเสียค่าใช้จ่ายในจำนวนที่ คงที่ ตัวอย่างของต้นทุนคงที่ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนซื้อที่ดิน ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสำนักงานโรงงาน ฯลฯ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการผลิต</span></span></li>
<li><span style="background-color: white; color: black;"><b>ต้นทุนผันแปร </b>(variable cost) หมายถึงค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายในการผลิตที่เกิดจากการใช้ปัจจัยผันแปร หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าต้นทุนผันแปรเป็นค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายที่ขึ้นอยู่กับ ปริมาณของผลผลิต กล่าวคือ ถ้าผลิตปริมาณมากก็จะเสียต้นทุนมาก ถ้าผลิตปริมาณน้อยก็จะเสียต้นทุน น้อย และจะไม่ต้องจ่ายเลยถ้าไม่มีการผลิต ตัวอย่างของต้นทุนผันแปร ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าแรงงาน ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ฯลฯ</span></li>
</ol>
<span style="background-color: white; color: black;">นอกจากนี้ เรายังสามารถแบ่งต้นทุนการผลิตออกเป็นต้นทุนทางบัญชีกับต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งทั้ง 2 ประเภทมีความแตกต่างกันดังนี้</span><br />
<ol>
<li><span style="background-color: white; color: black;"><b>ต้นทุนทางบัญชี </b>(business cost) หมายถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผลิตซึ่งคิดเฉพาะรายจ่ายที่เห็นชัดเจน มีการจ่ายเกิดขึ้นจริงๆ (explicit cost)</span></li>
<li><span style="background-color: white; color: black;"><b>ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ </b>(economic cost) หมายถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผลิต ทั้งรายจ่ายที่เห็นชัดเจนว่ามีการจ่ายจริงและรายจ่ายที่มองไม่เห็นชัดเจนหรือไม่ต้อง จ่ายจริง (implicit cost)</span><span style="background-color: white; color: black;"><i>รายจ่ายที่เห็นชัดเจนว่ามีการจ่ายจริง</i> ได้แก่ ค่าใช้จ่ายต่างๆที่จ่ายออกไปเป็นตัวเงิน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และอื่นๆ</span><br />
<span style="background-color: white; color: black;"><i>รายจ่ายที่มองไม่เห็นชัดเจนว่ามีการจ่ายจริง</i> เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้จ่ายออกไปเป็นตัวเงิน แต่ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการจะต้องประเมินขึ้นมาและถือเป็นต้นทุนการผลิตส่วนหนึ่ง ได้แก่ ราคา หรือผลตอบแทนของปัจจัยการผลิตในส่วนที่ผู้ผลิตเป็นเจ้าของเองและได้นำปัจจัยนั้นมาใช้ร่วมในการผลิต ด้วย เช่น นายมนูญเปิดร้านขายของชำที่บ้านของตนเองหรือใช้บ้านเป็นสถานที่ทำงาน ซึ่งในกรณีนี้ นายมนูญไม่ได้คิดค่าเช่าบ้านของตนเองที่นำมาใช้ในการประกอบกิจการดังกล่าว ซึ่งถ้านายมนูญนำบ้านไปให้ผู้อื่นเช่าเพื่อดำเนินกิจการเขาจะต้องได้รับค่าเช่า ดังนั้นค่าเช่าบ้านส่วนที่ควรจะได้แต่กลับไม่ได้ดังกล่าว ถือว่าเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของนายมนูญ (opportunity cost) ซึ่งต้นทุนดังกล่าวจะนำมารวมอยู่ในต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ นอกจากนี้ ค่าจ้างของนายมนูญที่ควรจะได้รับหากนายมนูญไปรับจ้างทำงานให้ผู้อื่น แต่กลับไม่ได้รับเพราะต้องมาดำเนินกิจการเอง เงินค่าจ้างส่วนนี้ก็ต้องนำมารวมในต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ด้วยเช่นกัน</span></li>
</ol>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-55438383408747039202014-02-10T08:04:00.004-08:002014-02-10T08:04:57.035-08:00การจำแนกต้นทุนตามความสำคัญและลักษณะของต้นทุนการผลิตนั้น<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';">การจำแนกต้นทุนตามความสำคัญและลักษณะของต้นทุนการผลิตนั้น จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการจำแนกต้นทุนตามส่วนประกอบของการผลิต ซึ่งวัตถุประสงค์ของการจำแนกต้นทุนในลักษณะนี้ ก็เพื่อใช้ในการวางแผนและควบคุมมากกว่าที่จะจำแนกเพื่อการคำนวณต้นทุนของสินค้าหรือบริการ การจำแนกต้นทุนตามความสำคัญและลักษณะของต้นทุนการผลิต เราสามารถจำแนกได้ 2 ลักษณะคือ</span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';"> </span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">3.<span lang="TH">2.1 ต้นทุนขั้นต้น (</span>Prime<span lang="TH"> </span>Costs<span lang="TH">) หมายถึง ต้นทุนรวมระหว่างวัตถุดิบทางตรงและค่าแรงงานทางตรง ซึ่งตามปกติเราจะถือว่า ต้นทุนขั้นต้นจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการผลิต รวมทั้งเป็นต้นทุนที่มีจำนวนมากเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบัน การผลิตในธุรกิจบางแห่งมีการใช้เครื่องจักรมากขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าแรงงานทางตรงลดลง ในลักษณะเช่นนี้ต้นทุนขั้นต้นก็จะมีความสำคัญลดลงเมื่อเทียบกับต้นทุนแปรสภาพ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';"> </span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">3.<span lang="TH">2.2 ต้นทุนแปรสภาพ (</span>Conversion costs<span lang="TH">) หมายถึง ต้นทุนที่เกี่ยวกับแปรสภาพและเปลี่ยนรูปแบบจากวัตถุดิบทางตรงให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จรูป ต้นทุนแปรสภาพจะประกอบด้วย ค่าแรงงานทางตรง และค่าใช้จ่ายการผลิต จากที่กล่าวแล้วก็คือ เมื่อกิจการมีการลงทุนในเครื่องจักรมากขึ้น ค่าเสื่อมราคา ค่าซ่อมบำรุง ซึ่งจัดเป็นค่าใช้จ่ายการผลิต ก็จะมีจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นในปัจจุบันนี้ สำหรับธุรกิจที่มีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ก็จะให้ความสำคัญกับต้นทุนแปรสภาพมากกว่าต้นทุนขั้นต้น</span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-16097218267293638402014-02-10T08:04:00.002-08:002014-02-10T08:04:05.202-08:00ค่าแรงงาน<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';">ค่าแรงงาน หมายถึง ค่าจ้างหรือผลตอบแทนที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือคนงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า โดยปกติแล้วค่าแรงงานจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ค่าแรงงานทางตรง</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">(Direct labor<span lang="TH">) และค่าแรงงานทางอ้อม (</span>Indirect labor<span lang="TH">)</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';">1) <span lang="TH">ค่าแรงงานทางตรง (</span>Direct labor<span lang="TH">) หมายถึง ค่าแรงงานต่าง ๆ ที่จ่ายให้แก่คนงานหรือลูกจ้างที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าสำเร็จรูปโดยตรง รวมทั้งเป็นค่าแรงงานที่มีจำนวนมากเมื่อเทียบกับค่าแรงงานทางอ้อมในการผลิตสินค้าหน่วยหนึ่ง ๆ และจัดเป็นค่าแรงงานส่วนสำคัญในการแปรรูปวัตถุดิบให้เป็นสินค้าสำเร็จรูป เช่น คนงานที่ทำงานเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตก็ควรถือเป็นแรงงานทางตรง พนักงานในสายการประกอบ เป็นต้น</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';">2) <span lang="TH">ค่าแรงงานทางอ้อม (</span>Indirect labor<span lang="TH">) หมายถึง ค่าแรงงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับค่าแรงงานทางตรงที่ใช้ในการผลิตสินค้า เช่น เงินเดือนผู้ควบคุมโรงงาน เงินเดือนพนักงานทำความสะอาดเครื่องจักร และโรงงาน พนักงานตรวจสอบคุณภาพ ช่างซ่อมบำรุง ตลอดจนต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับคนงาน เช่น ค่าภาษีที่ออกให้ลูกจ้าง สวัสดิการต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งค่าแรงงานทางอ้อมเหล่านี้จะถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายการผลิต</span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-33882157309498977842014-02-10T08:03:00.002-08:002014-02-10T08:03:18.868-08:00วัตถุดิบ (Materials)<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัตถุดิบนับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปโดยทั่วไป ซึ่งต้นทุนที่เกี่ยวกับการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าอาจจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ</span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';">1) <span lang="TH">วัตถุดิบทางตรง (</span>Direct materials<span lang="TH">) หมายถึง วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต และสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าใช้ในการผลิตสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในปริมาณและต้นทุนเท่าใด รวมทั้งจัดเป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ใช้ในการผลิตสินค้าชนิดนั้น ๆ เช่น ไม้แปรรูปจัดเป็นวัตถุดิบทางตรงของการผลิตเฟอร์นิเจอร์ ผ้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ยางดิบที่ใช้ในการผลิตยางรถยนต์ แร่เหล็กที่ใช้ในอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก กระดาษที่ใช้ในธุรกิจสิ่งพิมพ์ เป็นต้น</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';">2) <span lang="TH">วัตถุดิบทางอ้อม (</span>Indirect materials<span lang="TH">) หมายถึง วัตถุดิบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยทางอ้อมกับการผลิตสินค้า แต่ไม่ใช่วัตถุดิบหลักหรือวัตถุดิบส่วนใหญ่ เช่น ตะปู กาว กระดาษทรายที่ใช้เป็นส่วนประกอบของการทำเครื่องหนังหรือเฟอร์นิเจอร์ นำมันหล่อลื่นเครื่องจักร เส้นด้ายที่ใช้ในการตัดเย็บเสื้อผ้า เป็นต้น โดยปกติแล้ว วัตถุดิบทางอ้อมอาจจะถูกเรียกว่า </span>“<span lang="TH">วัสดุโรงงาน</span>”<span lang="TH"> ซึ่งจะถือเป็นค่าใช้จ่ายการผลิตชนิดหนึ่ง</span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-46064518943991551642014-02-10T08:02:00.001-08:002014-02-10T08:02:04.925-08:00 ต้นทุน (Cost) <span lang="TH" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif'; text-align: justify;"> ต้นทุน (</span><span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif'; text-align: justify;">Cost<span lang="TH">) หมายถึง มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไปเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการ โดยมูลค่านั้นจะต้องสามารถวัดได้เป็นหน่วยเงินตรา ซึ่งเป็นลักษณะของการลดลงในสินทรัพย์หรือเพิ่มขึ้นในหนี้สิน ต้นทุนที่เกิดขึ้นอาจจะให้ประโยชน์ในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ได้ เมื่อต้นทุนใดที่เกิดขึ้นแล้วและกิจการได้ใช้ประโยชน์ไปทั้งสิ้นแล้ว ต้นทุนนั้นก็จะถือเป็น </span>“<span lang="TH">ค่าใช้จ่าย</span>”<span lang="TH"> (</span>Expenses<span lang="TH">) ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจึงหมายถึงต้นทุนที่ได้ให้ประโยชน์และกิจการได้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดไปแล้วในขณะนั้นและสำหรับต้นทุนที่กิจการสูญเสียไป แต่จะให้ประโยชน์แก่กิจการในอนาคตเรียกว่า </span>“<span lang="TH">สินทรัพย์ (</span>Assets<span lang="TH">)</span></span><br />
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';"> เมื่อค่าใช้จ่าย (</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">Expenses<span lang="TH">) คือ ต้นทุนที่ก่อให้เกิดรายได้ (</span>Revenue<span lang="TH">) โดยปกติแล้วก็จะนำไปเปรียบเทียบกับรายได้ที่เกิดขึ้นในงวดเดียวกันเพื่อคำนวณหากำไรสุทธิ (</span>Profit<span lang="TH">) หรือขาดทุนสุทธิ (</span>Loss<span lang="TH">) ซึ่งรายได้ก็จะหมายถึง ราคาขายของสินค้าหรือบริการ คูณกับปริมาณหรือระดับของกิจกรรม นอกจากนี้โดยปกติเราจะพบว่า คำว่า </span>“<span lang="TH">ค่าใช้จ่าย</span>”<span lang="TH"> มักจะหมายถึงรายจ่ายที่สามารถให้ผลประโยชน์ทางภาษีได้ ด้วยเหตุนี้คำว่า </span>“<span lang="TH">ค่าใช้จ่าย</span>”<span lang="TH"> จึงนิยมแสดงในรายงานทางการเงินที่เสนอบุคคลภายนอก แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้วการใช้คำว่า </span>“<span lang="TH">ต้นทุน</span>”<span lang="TH"> และ </span>“<span lang="TH">ค่าใช้จ่าย</span>”<span lang="TH"> ก็มักจะมีการใช้ทดแทนกันอยู่เสมอ เช่น สมมติว่าในวันที่ 10 มกราคม 2548 บริษัทได้ซื้อสินค้ามา 2 รายการ โดยมีต้นทุนรายการละ 20,000 บาท ในวันที่ 25 มกราคม 2548 บริษัทได้ขายสินค้าไป 1 รายการ จำนวน 26,000 บาท ดังนั้น เมื่อถึงวันสิ้นเดือนมกราคม บริษัทก็จะมีรายได้เท่ากับ 26,000 บาท ค่าใช้จ่าย 20,000 บาท และสินค้าคงเหลือ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์อีก 20,000 บาท กำไรสุทธิก็จะเท่ากับ 6,000 บาท</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';">ความหมายของต้นทุนมีหลายชนิดซึ่งจะแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ในกระบวนการวางแผนและตัดสินใจ การเลือกใช้ต้นทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การนำต้นทุนไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็อาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาดได้ ต้นทุนสามารถจำแนกได้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้</span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">1. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามลักษณะส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">2. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามความสำคัญและลักษณะของต้นทุนการผลิต</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">3. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามความสัมพันธ์กับระดับของกิจกรรม</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">4. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามความสัมพันธ์กับหน่วยต้นทุน</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">5. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif';"> การจำแนกต้นทุนตามหน้าที่งานในสายการผลิต</span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">6. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามหน้าที่งานในกิจการ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">7. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามความสัมพันธ์กับเวลา</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">8. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามลักษณะของความรับผิดชอบ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Thonburi; text-indent: 36pt;">
<span style="color: black;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">9. </span><span lang="TH" style="font-family: 'MS Sans Serif'; text-decoration: none;">การจำแนกต้นทุนตามลักษณะของการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อตัดสินใจ</span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-43551732235381403492013-12-05T07:55:00.000-08:002013-12-05T07:55:09.954-08:00หลักการตลาดแบบ 4P และ แนวคิดในการทำการตลาดในรูปแบบ 4 C’s <div class="Default" style="background-color: white; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: large; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">หลักการตลาดแบบ 4P</span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">การตลาดแบบ </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">4 P’s <span style="margin: 0px; padding: 0px;">นั้นเป็นแนวคิดทางการตลาดที่ให้ความสำคัญกับมุมมองของผู้ผลิตเป็นหลัก ส่วนประสมการตลาด</span> (Marketing Mix) <span style="margin: 0px; padding: 0px;">แบบ </span>4P’s <span style="margin: 0px; padding: 0px;">นั้นถูกนำไปขยายจนกลายเป็นกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอยู่รอดเป็นหลัก หลักการคิดกลยุทธ์นั้นมีฐานความคิดดังต่อไปนี้</span></span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ด้านสินค้า</span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Product) </span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">โรงงานหรือผู้ผลิตนั้นคิดว่าควรจะผลิตสินค้าอะไรป้อนเข้าสู่ตลาด โดยที่สินค้าที่ผลิตขึ้นมานั้นจะเป็นสินค้าที่สามารถขายได้ และเพื่อที่จะทำให้กระบวนการผลิตดำเนินไปได้โดยไม่ติดขัด ไม่ขาดตอน</span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ด้านราคา </span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">(Price) </span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">การกำหนดราคาขาย จะถูกตั้งเพื่อให้ได้ราคาที่จะทำให้โรงงานผลิตสินค้าโดยไม่ขาดทุน ในขณะที่ผู้ขายสินค้านั้นก็ต้องคิดว่าควรจะบวกราคาเพิ่มเท่าไรถึงจะ ทำให้ตัวเองสามารถอยู่รอดได้</span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ด้านการจัดจำหน่าย</span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Place) </span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ทั้งโรงงานและผู้ขายมองภาพว่ากระจายสินค้านั้นควรจะกระจายไปสู่จุดขายให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะทำให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าและจะเข้ามาซื้อสินค้า</span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ด้านการส่งเสริมการขาย</span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Promotion) </span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">การสร้างกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดนั้นจะเน้นที่การบอกกล่าวให้ผู้บริโภคได้รับรู้ว่าตอนนี้มีสินค้าอยู่ใดบ้างที่วางขายในตลาด การลด แลกแจก แถม นั้นถือได้ว่าเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ</span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: large; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"><b>แนวคิดในการทำการตลาดในรูปแบบ 4 C’s</b></span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: large; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ความต้องการของผู้บริโภค</span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Consumer Wants and Needs) </span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">แทนที่จะผลิตอะไรก็ได้ที่ขายได้ เราคงต้องผลิตอะไรที่ผู้บริโภคต้องการมากกว่า เพราะปลาที่เราเคยคิดว่าหย่อนเหยื่ออะไรไปก็จะฮุบเสียหมดนั้นได้เรียนรู้แล้วว่าพวกเขาควรจะฮุบเหยื่ออะไร และแบบไหน สินค้าที่ผลิตออกมานั้นควรจะสินค้าที่ผู้บริโภคจะซื้อใช้เพื่อแก้ปัญหาการอยู่รอดของพวกเขา</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Consumer Solution) <span style="margin: 0px; padding: 0px;">แทนที่จะเป็นการอยู่รอดของผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย</span></span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ต้นทุนของผู้บริโภค</span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Consumer’s Cost to Satisfy)</span></strong></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">แนวคิดการตั้งราคาเพื่อให้ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอยู่รอดนั้นต้องเปลี่ยนไปเป็นการตั้งราคาโดยการพิจาราณาถึงต้นทุนของผู้บริโภคที่ต้องจ่ายเพื่อที่จะให้ได้สินค้ามาใช้ ซึ่งการตั้งราคานั้นต้องคำนวณถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ผู้บริโภคต้องจ่ายออกไปก่อนที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องการเดินทาง ค่าจอดรถ ค่าเสียเวลา เป็นต้น</span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">ความสะดวกในการซื้อ</span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Convenience to buy)</span></strong></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">การกระจายสินค้าในทุกๆ จุดขายที่เป็นไปได้ โดยคิดว่าหากจุดขายสินค้ามีมากจะผู้บริโภคจะซื้อนั้นก็เป็นเรื่องที่หลงสมัยไปแล้ว ช่องทางการจัดหน่ายสมัยใหม่นั้นต้องคิดว่าจะเพิ่มความสะดวกในการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคได้อย่างไร เพราะในตอนนี้ผู้บริโภคจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะซื้อที่ไหน ซื้อมากเท่าไร และซื้อเวลาใด มากกว่าการซื้อตามช่องทางที่ถูกกาหนดขึ้นจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย</span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<br /></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">การสื่อสาร</span></strong><strong style="margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"> (Communication)</span></strong></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;"></span></span></div>
<div class="Default" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 18px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; padding: 0px;">
<span style="color: black; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 19px; margin: 0px; padding: 0px;">วิธีการสื่อสารนั้นแทนที่จะใช้สื่อเพื่อการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อแบบในอดีตที่เคยประสบความสำเร็จ แต่วันนี้การสื่อสารต้องมองว่าทั้งสื่อและสารใดที่ผู้บริโภคจะรับฟัง การตลาดวันนี้ไม่ใช่ว่าผู้บริโภคจะยอมฟังในสิ่งที่เราต้องการจะพูดดังเช่นเดิม แต่วันนี้ผู้บริโภคเลือกที่จะฟังและไม่ฟัง เลือกที่จะเชื่อและไม่เชื่อ ดังนั้นการส่งเสริมการตลาดจึงควรหันมาให้ความสำคัญในเรื่องการสื่อสารมากกว่าการลดแลกแจก แถมแต่ให้ความสำคัญในการสร้างเรื่องราวสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ผ่านสื่อที่ผู้บริโภครับฟังมากกว่า</span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-52664512751170024522013-12-05T07:44:00.003-08:002013-12-05T07:44:56.628-08:00ทฤษฎีความคาดหวังของวรูม (Vroom Expectancy Theory)<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> วรูม (Victor H.Vroom) เป็นนักจิตวิทยาในกลุ่มพุทธินิยม (Cognitive Psychology) ที่ศึกษาวิจัยการทำงานของคนในโรงงานอุตสาหกรรม และได้สร้างทฤษฎีความคาดหวังไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1964 แม้คำอธิบายในทฤษฎีของวรูมอาจจะยังมีความไม่สมบูรณ์ แต่ก็พบว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้มีการวิจัยต่อเนื่องมาอีกมากในเรื่องแรงจูงใจในการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม นักจิตวิทยาในกลุ่มพุทธินิยมนี้เชื่อในเรื่องของความคิดของบุคคลว่าเป็นส่วนสำคัญในการทำใหเกิดแรงจูงใจต่อพฤติกรรม หรือการกระทำ แม้จะมีเรื่องของผลรางวัลหรือสิ่งเร้าภายนอกตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจคือความคิดของบุคคล นักจิตวิทยาบางคนในกลุ่มนี้ศึกษาเรื่องการวางแผน บางคนศึกษาเรื่องการตั้งเป้าหมาย แต่สำหรับวรูมจะเน้นศึกษาเรื่องความคาดหวัง</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> คำอธิบายของวรูมเน้นใน 2 เรื่องด้วยกัน คือเรื่องค่านิยมในงานว่าทำงานแล้วคาดหวังว่าจะได้อะไร เช่น ทำงานให้ดี เพื่อหวังจะได้รับเงินเดือนเพิ่ม หรือบางคนหวังได้รับคำยกย่อง ในที่นี้เงินและคำยกย่องเป็นค่านิยม และอีกเรื่องที่เน้นคือแรงจูงใจซึ่งกำหนดทิศทางการกระทำเพื่อให้ได้ตามค่านิยมของตน คือคาดหวังว่าจะได้ตามค่านิยม เป็นแรงจูงใจให้บุคคลใช้ความพยายามกระทำให้สำเร็จ และความสำเร็จของงานเกิดจากความพยายามบวกกับความสามารถของตน จากคำอธิบายดังกล่าวนี้ หลายคนเห็นว่าวรูมเน้นที่สิ่งจูงใจจากภายนอก คือความคาดหวังที่จะได้รับรางวัล ได้รับการยกย่อง ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น ฯลฯ แต่ถ้ามองทัศนะของกลุ่มพุทธินิยม กลุ่มนี้จะกล่าวว่า ความคาดหวังซึ่งเป็นความคิดของบุคคล เป็นจุดสำคัญของแรงจูงใจ</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> การศึกษาของวรูมนับว่าเป็นประโยชน์และเป็นจุดเริ่มต้นให้มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องแรงจูงใจในการทำงานอีกมาก ตัวอย่างการศึกษาที่น่าสนใจ เช่น ในปี ค.ศ.1976 กาลเบรธ และคัมมิงส์ ได้นำวิธีการของเขาไปศึกษาการทำงานของคนงานคุมเครื่องจักรในโรงงานการผลิตเครื่องจักร พบว่าการที่คนงานทำงานสำเร็จได้ด้วยดีนั้น มีทั้งแรงจูงใจภายในและภายนอก แรงจูงใจภายนอกก็คือรางวัลหรือค่าตอบแทนเพิ่ม ส่วนแรงจูงใจภายในคือความรู้สึกพึงพอใจที่ได้รับความสำเร็จ และในปีเดียวกันนักวิจัยชื้อลอว์เลอร์และพอร์ตเตอร์ ได้นำวิธีการของวรูมไปศึกษากลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลในองค์การ ได้พบปัจจัยที่ส่งผลสู่ความสำเร็จของงานเพิ่มเติมจากที่วรูมได้ทำการศึกษาไว้ โดยวรูมได้กล่าวถึงปัจัย 2 ตัว คือ ความพยายามกับความสามารถที่เมื่อผนวกกันเข้าก็ทำให้งานสำเร็จ แต่ลอว์เลอร์และพอร์ตเตอร์ได้พบจากการศึกษาวิจัยของเขาว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้คนงานทำงานสำเร็จ ประกอบด้วย ความพยายาม ความสามารถ และการรับรู้บทบาท คือการที่บุคคลรับรู้บทบาท ซึ่งได้แก่การเข้าใจงานในหน้าที่ของตน จะเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ทำงานสำเร็จ นอกจากนั้นลอว์เลอร์และพอร์ตเตอร์ ยังเสนอแนะไว้ในการศึกษาของเขาว่า ในการให้รางวัลแก่ผู้ปฏิบัติ ควรเป็นไปโดยสัมพันธ์สอดคล้องกับความพยายามที่ผู้ปฏิบัติงานได้ลงทุนลงแรงในงานนั้นๆ</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> แนวคิดในทฤษฎีของวรูม สรุปได้ว่า แรงจูงใจในการทำงานของบุคคล เกิดจาความคิดของบุคคลในการตั้งความคาดหวังในสิ่งที่กระทำ ซึ่งความคาดหวังนั้นมักเป็นไปตามค่านิยมของตน ทำให้บุคคลพยายามทำให้ได้ หากสิ่งที่พยายามสอดคล้องกับความสามารถด้วย ก็จะเป็นแรงจูงใจที่เข้มข้นสำหรับบุคคล นอกจากนั้น ผลการศึกษาต่อเนื่องจากวรูมก็ช่วยสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว และยังได้ข้อสรุปเพิ่มขึ้นจากการที่บุคคลได้เข้าใจบทบาทการทำงานของตนเป็นอย่างดี จึงเห็นได้ว่า แนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้บุคคลทำงาน คือการสร้างความคาดหวัง การให้ตระหนักในค่านิยมต่องาน การใช้ความพยายามการเสริมสร้างความสามารถในงาน และการช่วยให้บุคคลเข้าใจบทบาทของตนในงานนั้นๆ</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-70248708956477753972013-12-05T07:44:00.000-08:002013-12-05T07:44:06.540-08:00ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierachy of Needs)<span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif';">มาสโลว์ (Abraham H.Maslow) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยมทฤษฎีของเขาได้ชื่อว่าทฤษฎีลำดับความต้องการ โดยอธิบายว่ามนุษย์มีความต้องการเป็นลำดับขั้น ซึ่งพบว่าบุคคลมักดิ้นรนตอบสนองความต้องขั้นต่ำสุดก่อน เมื่อได้รับการตอบสนองแล้ว จึงแสวงหาความต้องการขั้นสูงขึ้นไปตามลำดับ ในยุคแรกๆ ที่มาสโลว์ทำการศึกษาเขาแบ่งความต้องการของมนุษย์เป็น 5 ลำดับ ลำดับ 1-4 เป็นความต้องการระดับต้น ลำดับที่ 5 เป็นความต้องการระดับสูง ในยุคต่อมามาสโลว์ ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมและแบ่งความต้องการลำดับที่ 5 ให้ละเอียดออกไปอีกเป็น 3 ลำดับ รวมใหม่ทั้งหมดเป็น 7 ลำดับขั้นของความต้องการ ดังต่อไปนี้</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif';"><br /></span>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="222" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiURXpvjYNBO1HPex2XUex5LAg3UzqlXDApQBFPU51cHAz-nngwAajSbICiOubTlZ017eMsRcDJWJtg36E19r2wdZK3nS8B-Lq6I28S_Uh3-efyjJmKhKl8vwWL28vVkUwkSvAW1ZbkP74/s320/tri.gif" width="320" /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div align="center" style="background-color: white; text-align: -webkit-center;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;">ภาพปิรามิดแสดงลำดับขั้นความต้องการ ตามแนวคิดของมาสโลว์ 7 ลำดับขั้น </span><span style="font-family: MS Sans Serif;">ลำดับ 1-4 เป็นความต้องการระดับต้น หรือระดับขาดแคลน ลำดับที่ 5-7 เป็น</span><span style="font-family: MS Sans Serif;">ความต้องการระดับสูงหรือระดับสร้างความสมบูรณ์แบบให้ชีวิต</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> จากภาพ อธิบายลำดับขั้นความต้องการตามแนวคิดของมาสโลว์ ได้ดังนี้</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <b> ลำดับขั้นที่ 1 ความต้องการทางสรีระ (physical needs)</b> คือความต้องการตอบสนองความหิวกระหาย ความเหนื่อย ความง่วง ความต้องการทางเพศ ความต้องการขับถ่าย ความต้องการมีกิจกรรมทางร่างกาย และความต้องการสนองความสุขของประสาทสัมผัส</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <b> ลำดับขั้นที่ 2 ความต้องการความปลอดภัย (sefety needs)</b> คือความต้องการการคุ้มครองปกป้องรักษา ความอบอุ่นใจ ความปราศจากอันตราย และต้องการหลีกเลี่ยงความวิตกกังวล</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <b> ลำดับขั้นที่ 3 ความต้องการความเป็นเจ้าของ และความรัก (belongingness and love needs)</b> คือความอยากมีเพื่อน มีพวกพ้อง มีกลุ่ม มีครอบครัว และมีความรัก ขั้นนี้จัดเป็นความต้องการทางสังคม</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <b> ลำดับขั้นที่ 4 ความต้องการเป็นที่ยอมรับ ยกย่อง และเกียรติยศชื่อเสียง (esteem needs)</b> คือความอยากมีชื่อเสียง มีหน้ามีตา มีคนยกย่องเลื่อมใส มีความเด่นดัง และต้องการความรู้สึกที่ดีของคนอื่นต่อตน</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <b> ลำดับขั้นที่ 5 ความต้องการใฝ่รู้ใฝ่เรียน (need to know and understand) </b>คื่อความอยากรู้ อยากเข้าใจ อยากมีความสามารถ อยากมีประสบการณ์</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <b> ลำดับขั้นที่ 6 ความต้องการทางสุนทรียะ (aesthetic needs) </b>ได้แก่ความต้องการด้านความดี ความงาม คุณธรรม และความละเอียดอ่อนทางจิตใจ</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <b>ลำดับขั้นที่ 7 ความต้องการความสำเร็จ หรือความสมบูรณ์แบบในชีวิต (self actualization needs)</b> ขั้นนี้ถือว่าเป็นความต้องการสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นนี้ได้ต้องปูพื้นฐานให้บุคคลได้ตอบสนองความต้องการของตนในลำดับขั้นที่ 1 เป็นลำดับมาจนถึงระดับสูง หรือสร้างความรู้สึก “พอ” ในความเป็นเขาเสียก่อน ซึ่งบุคคลประเภทนี้มักได้รับ ประสบการณ์สูงสุด คือได้รับประสบการณ์เข้มข้นบางประการด้วยตนเองจนตระหนักในสภาพความเป็นจริงแห่งชีวิต ซึ่งบางคนกล่าวว่าเข้าถึงปรัชญาชีวิต หรือสัจจธรรมแห่งชีวิต</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> ความต้องการทั้ง 7 ลำดับขั้นตอนตามแนวคิดของมาสโลว์นั้น บุคคลจะกระทำการเพื่อสนองความต้องการลำดับแรกก่อน แล้วจึงดิ้นรนเพื่อสนองความต้องการถัดมาเป็นลำดับตัวอย่างพฤติกรรมของพนักงานในองค์การ เช่น ตราบใดที่ค่าแรงยังไม่พอกิน (ความต้องการขั้นที่ 1 ) หรือตนต้องเผชิญสถานการณ์เสี่ยงภัยในหน้าที่ (ความต้องการขั้นที่ 2) ในภาวะดังกล่าวนั้น พนักงานอาจยังไม่คำนึงถึงความรัก การยอมรับ การยกย่องและเกียรติยศชื่อเสียง (ความต้องการขั้นที่ 4) หรือจะยังไม่ดิ้นรนเพื่อใฝ่หาความรู้ ความดี ความงาม หรือความสมบูรณ์แบบส่วนตัว (ความต้องการขั้นที่ 5,6 และ 7) จึงเห็นได้ว่าคนบางคนกระทำในสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ เพื่อให้ความต้องการทางกาย ได้รับตอบสนอง เช่น เพื่อให้ท้องหายหิว เพื่อสนองความต้องการทางเพศ หรือเพื่อสะสมเงินทองเอาไว้ให้อบอุ่นใจว่าต่อไปภายหน้าจะได้มีกินมีใช้</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-40432865673165135252013-12-05T07:42:00.003-08:002013-12-05T07:42:29.658-08:00การตั้งเป้าหมาย<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><b>การตั้งเป้าหมาย (goal settings)</b> เป็นการกำหนดทิศทางและจุดมุ่งหมายปลายทางของการกระทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งของบุคคล จัดเป็นแรงจูงใจจากภายในของบุคคลผู้นั้น ในการทำงานธุรกิจที่มุ่งเพิ่มปริมาณและคุณภาพ ถ้าพนักงานหรือนักธุรกิจมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน จะส่งผลให้ทำงานอย่างมีแผนและดำเนินไปสู่เป้าหมายดังกล่าวเสมือนเรือที่มีหางเสือ ซึ่งในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นจะเห็นว่ามีคนบางคนที่ทำอะไรก็มักประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จดังกล่าวอาจจะมีหลายประการ แต่ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลมากต่อความสำเร็จในการทำงาน คือการตั้งเป้าหมายในการทำงานแต่ละงานไว้ล่วงหน้า ซึ่งเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารงาน ควรสนับสนุนให้พนักงานทำงานอย่างมีเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อความเจริญก้าวหน้าขององค์การ และตัวของพนักงานเอง</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>ที่กล่าวมาทั้งหมดในเรื่องที่มาของแรงจูงใจ ซึ่งได้แก่ ความต้องการ แรงขับ สิ่งล่อใจ การตื่นตัว การคาดหวัง และการตั้งเป้าหมาย จะเห็นได้ว่าค่อนข้างยากที่จะกล่าวอธิบายแต่ละเรื่องแยกจากกันโดยเอกเทศ ทั้งนี้เนื่องจากแต่ละเรื่องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น ความต้องการทำให้เกิดภาวะขาดสมดุลภายในร่างกายหรือจิตใจ มนุษย์อยู่ในภาวะขาดสมดุลไม่ได้ ต้องหาทางสนองความต้องการเพื่อให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ส่งผลให้เกิดแรงขับหรือแรงผลักดันพฤติกรรม ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมอย่างมีทิศทาง มุ่งไปสู่เป้าหมาย เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว แรงผลักดันพฤติกรรมก็ลดลง ภาวะสมดุลก็กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง จากคำอธิบายดังนี้จะเห็นได้ว่าที่มาของแรงจูงใจหลายเรื่องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><br /></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><br /></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><b>การคาดหวัง (expectancy) </b>เป็นการตั้งความปรารถนาหรือการพยากรณ์ล่วงหน้าของบุคคลในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปตัวอย่างเช่น การที่คนงานคาดหวังว่าพวกเขาจะได้รับโบนัสประจำปีสัก 4-5 เท่าของเงินเดือน การคาดหวังดังกล่าวนี้ส่งผลให้พนักงานดังกล่าวกระปรี้กระเปล่า มีชีวิตชีวา ซึ่งบางคนก็อาจจะสมหวัง และมีอีหลายคนที่ผิดหวังในชีวิตจริงของคนเราโดยทั่วไป สิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นมักไม่ตรงกันเสมอไป ช่วงห่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถ้าห่างกันมากก็อาจทำให้คนงานคับข้องใจ และเกิดปัญหาขัดแย้งอื่นๆ ตามมา เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารงานจึงควรระวังในเรื่องดังกล่าวที่จะต้องมีการสื่อสาร สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในกันและกัน การสร้างความหวังหรือการปล่อยให้พนักงานคาดหวังลมๆ แล้งๆ โดยที่สภาพความเป็นจริงทำไม่ได้ อาจจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากที่คาดไม่ถึงในเวลาต่อไป ดังตัวอย่างที่เห็นได้จากการที่กลุ่มคนงานของบริษัทใหญ่บางแห่งรวมตัวกันต่อต้านผู้บริหารและเผาโรงงานเนื่องมาจากไม่พอใจที่ไม่ได้โบนัสประจำปีตามที่คาดหวังไว้ว่าควรจะได้</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>การคาดหวังก่อให้เกิดแรงผลักดันหรือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญต่อพฤติกรรมอีกส่วนหนึ่ง ในองค์การถ้าได้มีการกระตุ้นให้พนักงานทำงานโดยวางแผนและเป้าหมาย ตั้งระดับของผลงานตามที่ควรจะเป็น อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยยกระดับมาตราฐานของผลงานของพนักงาน ซึ่งเมื่อได้ผลงานดีขึ้นผู้บริหารก็พิจารณาผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่พนักงานคาดว่าควรจะได้ เช่นนี้นับว่าได้รับประโยชน์พร้อมกันทั้งฝ่ายเจ้าของกิจการและผู้ปฏิบัติงาน</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8323968406357506061.post-23091620469243313952013-12-05T07:40:00.007-08:002013-12-05T07:40:57.434-08:00 ความเป็นมาและความสำคัญของการจูงใจในการทำงาน<span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif';">การใช้กลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการปฏิบัติงานของผู้ร่วมงานให้ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการนั้นมิใช่ของใหม่ที่เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ในสมัยโบราณก็มีการใช้วิธีการดังกล่าวทั้งกับมนุษย์ด้วยกันและกับสัตว์ที่จัดเป็น ผู้ร่วมงาน ด้วยเช่นกัน กลยุทธ์ที่นำมาใช้บางประการเป็นไปโดยทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความพอใจ สมัครใจที่จะทำ กลยุทธ์บางประการแม้จะได้ผลในการสร้างแรงกระตุ้นให้ทำงานได้มากขึ้น แต่ผู้ปฏิบัติอาจมีเจตคติทางลบต่อผู้บริหาร เพราะถูกเอารัดเอาเปรียบเกินไป หรือบุคคลภายนอกอาจมองโดยไม่ยอมรับนัก เพราะเอารัดเอาเปรียบกัน</span><br />
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><b>ความสำคัญของการจูงใจในการทำงาน</b></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>การทำความเข้าใจเรื่องความสำคัญของการจูงใจในการทำงานอาจโดยตั้งปัญหาถาม-ตอบ เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนบางคนที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างรายการปัญหา เช่น เพราะอะไรนักวิทยาศาสตร์บางคนจึงใช้เวลามากมายเหลือเกินอยู่ในห้องทดลองบางคนใช้เวลาส่วนใหญ่เกือบตลอดชีวิตของเขาทีเดียวเพื่อการทดลองนั้นๆ เพราะอะไรนักกีฬาบางคนจึงสู้ทนเหนื่อยยากกับการฝึกซ้อมซ้ำๆ ซากๆ เป็นเวลาแรมเดือน แรมปี ก่อนเข้าแข่งขันกีฬานัดสำคัญ เพราะอะไรคนบางคนจึงยอมอดทน เสียสละ ทำงานหนัก และใช้พลังทั้งหมดในตัวตลอดชีวิตของเขา เพื่อการค้นพบโลกอนาคตในบางลักษณะที่ยังไม่มีใครพบได้มาก่อน ในขณะที่คนบางคนทำในลักษณะเดียวกัน แต่เพื่อการค้นหาร่องรอยอดีตของโลกดึกดำบรรพ์ไม่สนใจใฝ่รู้ในโลกอนาคต เป็นต้น</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>จากตัวอย่างปัญหาที่ยกมานี้ คำตอบต่อปัญหาดังกล่าวคือ เพราะพฤติกรรมเหล่านั้นมีสิ่งผลักดันหรือมีแรงจูงใจให้เกิดขึ้น คือ เป็นพฤติกรรมที่มีการจูงใจ พฤติกรรมที่เกิดจากการจูงใจจะเป็นพฤติกรรมที่มีความเข้มข้น จริงจัง ลงทุนลงแรง กระทำในสิ่งนั้นเพื่อให้ผลงานหรือผลการกระทำ บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><br /></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><b>การจูงใจช่วยเพิ่มพลังในการทำงานให้บุคคล</b></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>พลัง (energy) เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการกระทำหรือพฤติกรรมของมนุษย์ ในการทำงานใดๆ ถ้าบุคคลมีแรงจูงใจในการทำงานสูง ย่อมทำให้ขยันขันแข็ง กระตือรือร้น กระทำให้สำเร็จ ซึ่งตรงกันข้ามกับบุคคลที่ทำงานประเภท “เช้าชาม เย็นชาม” ที่ทำงานเพียงเพื่อให้ผ่านไปวันๆ</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><br /></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><b>การจูงใจช่วยเพิ่มความพยายามในการทำงานให้บุคคล</b></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>ความพยายาม (persistence) ทำให้บุคคลมีความมานะ อดทน บากบั่น คิดหาวิธีการนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของตนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่องานให้มากที่สุด ไม่ท้อถอยหรือละความพยายามง่ายๆ แม้งานจะมีอุปสรรคขัดขวาง และเมื่องานได้รับผลสำเร็จด้วยดีก็มักคิดหาวิธีการปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><br /></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><b>การจูงใจช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของบุคคล</b></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>การเปลี่ยนแปลง (variability) รูปแบบการทำงานหรือวิธีทำงานในบางครั้ง ก่อให้เกิการค้นพบช่องทางดำเนินงานที่ดีกว่าหรือประสบผลสำเร็จมากกว่า นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเครื่องหมายของความเจริญก้าวหน้าของบุคคล แสดงให้เห็นว่าบุคคลกำลังแสวงหาการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต บุคคลที่มีแรงจูงใจในการทำงานสูง เมื่อดิ้นรนเพื่อจะบรรลุวัตถุประสงค์ใดๆ หากไม่สำเร็จบุคคลก็มักพยายามค้นหาสิ่งผิดพลาดแลยพยายามแก้ไขให้ดีขึ้นในทุกวิถีทาง ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานจนในที่สุดทำให้ค้นพบแนวทางที่เหมาะสมซึ่งอาจจะต่างไปจากแนวเดิม</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><br /></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"><b>การจูงใจในการทำงานช่วยเสริมสร้างคุณค่าของความเป็นคนที่สมบูรณ์ให้บุคคล</b></span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>บุคคลที่มีแรงจูงใจในการทำงาน จะเป็นบุคคลที่มุ่งมั่นทำงานให้เกิดความเจริญก้าวหน้า และการมุ่งมั่นทำงานที่ตนรับผิดชอบให้เจริญก้าวหน้า จัดว่าบุคคลผู้นั้นมีจรรยาบรรณในการทำงาน (work ethics) ผู้มีจรรยาบรรณในการทำงานจะเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ มั่นคงในหน้าที่ มีวินัยในการทำงาน ซึ่งลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ ผู้มีลักษณะดังกล่าวนี้มักไม่มีเวลาเหลือพอที่จะคิดและทำในสิ่งที่ไม่ดี</span></div>
<div align="left" style="background-color: white;">
<span style="font-family: MS Sans Serif;"> <span style="font-family: MS Sans Serif;"> </span>จากที่กล่าวมาทั้ง 4 ประการ จะเห็นได้ว่า องค์การใดที่มีทรัพยากรบุคคลซึ่งมีแรงจูงใจในการทำงานสูง ย่อมส่งผลให้องค์การนั้นๆ บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เจริญก้าวหน้า เพราะพนักงานดังกล่าวจะทุ่มเทพลังงานและความสามารถอย่างเต็มที่และโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ผลงานสำเร็จตามนโยบายและเป้าหมายของงาน นอกจากนั้นยังมีบุคคลอีกส่วนหนึ่งซึ่งเชื่อว่าการสร้างแรงจูงใจให้บุคคลมุ่งมั่นทำงานให้เจริญก้าวหน้า ยังช่วยเสริมสร้างความเป็นคนที่สมบูรณ์ให้แก่ผู้นั้น ช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย และช่วยสร้างคนให้ดีได้เพราะการทำงานเป็นหัวใจสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ทำให้ชีวิตมีคุณค่า</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0