MBA Gossip

  • ข้าวผัดหมู - *เครื่องปรุง* 1. ข้าวสวย ¾ ถ้วยตวง 2. หมูสับ 50 กรัม 3. หมูแฮมหั่นเป็นเส้นฝอย 3 แผ่น 4. หมูยอหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ 5. กระเทีย...
    7 ปีที่ผ่านมา
  • ปวดหลัง - * อาการปวดหลังร่วมกับแขนขาชาไม่มีแรง* กลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ ซึ่งลักษณะอาการดังกล่าวเป็นไปได้ว่าไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ทางที่ดีควรรีบปรึก...
    7 ปีที่ผ่านมา
  • เพื่อนแพง - พุทธศักราช 2476 นาข้าวชูรวงทองเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่งบ้านสร้าง อำเภอหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี เสียงควบขี่ไอ้เปลี่ยว ควายคู่ใจของ ไอ้ลอ (ศุกลวัฒน์ คณารศ)...
    8 ปีที่ผ่านมา
Custom Search
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตราสินค้า

1.ชื่อของสินค้าควรจะเป็นชื่อง่ายๆ จุดประสงค์ข้อนี้เพื่อต้องการสามารถจำและเข้าใจง่าย เนื่องจากผู้บริโภค มีความสามารถในการจดจำที่จำกัด เหตุผลนี้ทำให้เห็นว่าทำไมชื่อตราสินค้าที่มีหลายพยางค์ จึงจำเป็นต้องตัดให้สั้นลง ตัวอย่างเช่นคำว่า เป๊ปซี่ -โคล่า ต้องตัดให้สั้นลง เหลือแค่คำว่า "เป๊ปซี่" หรือ จอนห์เลอวิส ก็เหลือแค่ "เลอวิส" เมื่อลูกค้าคุ้นเคยกับชื่อแล้วเขาก็จะจำได้ง่ายขึ้น
2.ชื่อตราสินค้าจะต้องมีความแตกต่าง เช่นชื่อ โกดัก หรืออดิดาส สามารถสร้างความแตกต่างทั้งในแง่ของการออกเสียง ตัวอักษรและคำที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดผลในการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความสนใจของผู้บริโภคได้มากขึ้น
3.ชื่อตราสินค้าจะต้องมีความหมาย สังเกตได้ว่าการแปลความหมายชื่อตราสินค้าของผู้บริโภคนั้น จะต้องมีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในสินค้าหรือบริการ เช่น FedEx ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการที่รวดเร็ว แบตเตอรี่ยี่ห้อ "Reliable" จะสื่อสารให้ผู้บริโภคทราบถึงความน่าเชื่อถือของสินค้าหรือบริการ นอกจากนั้นชื่อของสินค้า หรือบริการ ควรจะส่งเสริมภาพพจน์ในเชิงบวกด้วย เช่น ท็อปส์ ซุปเปอร์มาเก็ต ที่หมายถึงการคัดสรรเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพระดับท็อปๆ เท่านั้น เป็นต้น
4.ชื่อตราสินค้าจะต้องเกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริการ เช่น ชื่อนาฬิกาไทเม็กซ์ ที่ส่งเสริมความหมายของความเป็นนาฬิกา หรือ "SCACARE" เป็นครีมที่ช่วยลดรอยแผลเป็นทำให้หน้าเรียบใสขึ้น
5.อารมณ์ช่วยกระตุ้นความสนใจและการเข้าถึงสินค้าได้เป็นอย่างดี สำหรับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มน้ำหอม ชื่อที่เร้าอารมณ์จะช่วยให้สินค้าประสบความสำเร็จ เช่นคำว่า Poison และ Opium เป็นต้น
6.ชื่อตราสินค้าควรจะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย เพราะอาจถูกลอกเลียนแบบจากคู่แข่ง ดังนั้น จึงต้องมีการจดทะเบียนชื่อสินค้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย
7.ระมัดระวังการสร้างสรรค์คำใหม่ นักการตลาดต้องพัฒนาคำใหม่ๆ ตลอดเวลา สำหรับชื่อตราสินค้านั้น ควรมีการส่งเสริมและทำให้เกิดความชัดเจนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น "Kodak" "Esso" และ "Xerox" เป็นต้น
8.ควรหลีกเลี่ยงชื่อที่มีพยางค์มากเกินไป ในช่วงเวลาที่ผ่านมาชื่อตราสินค้าบางประเภทถูกปรับให้สั้นลง เช่น International Business Machines กลายเป็น IBM หรือ Imperial Chemicals Industries กลายเป็น ICI และ British Airways กลายเป็น BA เป็นต้น
9.การปรับปรุงชื่อสินค้าให้มีความหมายเป็นสากล เมื่อใดก็ตามที่ชื่อสินค้าขยายวงไปยังหลายพื้นที่ จะเกิดความแตกต่างทั้งในแง่ของภาษา และวัฒนธรรม ดังนั้นนักการตลาดควรคำนึงถึงปัจจัยนี้ด้วย ไม่ใช่มาแก้ปัญหาเรื่องชื่อสินค้าในภายหลัง ซึ่งยุ่งยากสำหรับนักการตลาดเป็นอย่างมาก

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ฺBreakingnews